ความหลงไหลของเรากับเสียงฝน
ก่อนจะเริ่มบทความนี้ อยากให้เพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านได้ลองหลับตา แล้วนึกย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็ก ในช่วงสายๆ ของวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังจากที่ดูการ์ตูนตอนเช้าจบ มีใครบ้างที่ชอบขลุกตัวอยู่ในห้องนอน เล่นเกมส์ อ่านหนังสือการ์ตูน แล้วถ้ายิ่งวันนั้นเป็นวันที่อากาศข้างนอก ครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีเสียงหยดน้ำหยดลงบนหลังคา และมีกลิ่นไอดินที่ถูกน้ำฝนหยดใส่ลอยมาเตะจมูก ทำให้บรรยากาศวันนั้นช่างสงบ และสบายสำหรับเพื่อนๆ แล้วละก็ บอกไว้เลยว่าเราเป็นพวกเดียวกัน 5555
จะเรียกว่าเราเป็นคนที่ชอบบรรยากาศเวลาฝนตกมาตั้งแต่เด็กก็ไม่ได้ กลับกันต้องเรียกว่าเราหลงไหลมันมาตั้งแต่จำความได้เลยต่างหาก เรายังจำสมัยเด็กได้แม่นยำว่า เราชอบออกไปเล่นน้ำฝน จนหลายๆ ครั้งที่ย่าเราจะต้องตะโกนห้ามเพราะกลัวจะไม่สบาย
เรื่องโดนน้ำฝนแล้วไม่สบายเนี่ย เป็นเรื่องตลกเรื่องนึงที่เราเชื่อมาตั้งแต่เด็ก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ตั้งคำถามในใจเรามาโดยตลอดว่า “เฮ้ย มันจะเป็นไปได้เหรอวะ” แต่ก็เพราะมันเป็นคำเตือนจากผู้ใหญ่อะเนอะ เราจึงเลือกที่จะทำตามมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เราโดนน้ำฝน หรือออกไปเล่นน้ำฝน เวลาเรากลับถึงบ้านเราจะต้องอาบน้ำทันที และด้วยความเป็นเด็กในตอนนั้น ความสงสัยต่างๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมาย เราจึงปล่อยความสงสัยนั้นไป
เอาเป็นว่าเราจะทิ้งเรื่องนั้นไปก่อน แล้วมาเล่าอีกประสบการณ์นึง ที่ทำให้เรามั่นใจว่าเราหลงไหลในสายฝนมาก เรื่องก็มีอยู่ว่า ช่วงนึงตอนที่เราได้มาอาศัยอยู่ในเมลเบิร์น ออสเตรเลียแล้วเนี่ยแหละ ช่วงนั้นเราค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องการนอนที่ไม่เพียงพอ ปัญหาก็มาจากการที่ตารางทำงานเราไม่เป็นเวลา บางวันเราก็ต้องงานกะเช้าและเลิกเร็ว แต่บางวันเราก็ต้องทำงานกะดึกและได้เลิกช้ามาก อีกปัญหานึงก็คือบ้านเราอยู่ไกลจากที่ทำงานมาก ใช้เวลาในการเดินทางรวมๆ กันแล้ว ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ทำให้เวลาเราเลิกงานดึก เราก็จะถึงบ้านช้าและกว่าจะได้นอนก็อาจจะปาเข้าไป ตี 2-3 กันเลยทีเดียว ไม่หนำซ้ำตอนเช้าก็อาจจะต้องไปทำงานต่อเลย เพราะอีกวันอาจจะมีกะเช้าที่เริ่มตั้งแต่ 10 โมง ซึ่งเราจำเป็นจะต้องตื่นตั้งแต่ 7 โมง
ช่วงนั้นเวลาที่ดีที่สุดในการนอนของเราคือการนอนบนรถไฟระหว่างเดินทางไปทำงาน ทั้งขาไปและขากลับ แต่ปัญหาของการพยายามนอนบนขนส่งสาธารณะก็คือ การรบกวนจากผู้โดยสารคนอื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเสียงคนอื่นที่คุยกัน หรือจะเป็นเด็กนักเรียนที่ยืนเล่นกันบนรถไฟจนทำให้ตัวมาชนกับเรา แต่จะทำยังไงได้ มันขนส่งสาธารณะอะเนอะ เราก็ได้แต่ทำใจ และหาวิธีว่าจะทำยังไงให้เราได้งีบหลับสักนิดก็ยังดี
ตอนนั้นเราถึงขนาดลงทุนซื้อหูฟังของแอปเปิ้ลมาใช้ เพราะมันมีระบบที่สามารถตัดเสียงรบกวนได้ แต่เราก็ค้นพบว่า เวลาเราฟังเพลงแล้วเราก็นอนไม่หลับอยู่ดี แต่เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น มีอยู่วันนึงที่เรานั่งอยู่บนรถไฟในสภาพไม่ต่างจากวันอื่นๆ คือ พยายามจะงีบหลับ แต่ก็เหมือนเดิม นอนไม่หลับเพราะเสียงรบกวนต่างๆ รอบข้างอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือว่าคิดไปเอง อยู่ดีๆ ฝนก็ตกลงมา ซึ่งถามว่าแปลกไหม ก็ไม่แปลกหรอกสำหรับคนที่อยู่ในเมลเบิร์น เพราะอากาศที่นี่ ปกติก็มี 4 ฤดูกาลในวันเดียวอยู่แล้ว แต่นี่ละคือจุดเปลี่ยนและเป็นต้นเหตุของการทำให้เราคิดที่จะเขียนบทความนี้ขึ้นมาเลย
เพื่อนๆ อาจจะสงสัยว่า แล้วมันเป็นจุดเปลี่ยนยังไง คือเล่าจะเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ได้ยินเสียงฝนจากด้านนอกรถไฟกระทบลงกับหน้าต่าง เราที่นอนไม่หลับ อยู่ๆ ก็ง่วงนอนแล้วหลับได้แบบไม่สนใจเสียงรอบข้างกันเลยทีเดียว แล้วเช้าวันนั้นก็กลับกลายเป็นเช้าที่สดใสมาก เพราะเราได้มีโอกาสงีบหลับราวๆ 40 นาทีก่อนเริ่มงาน
เย็นวันนั้นหลังเลิกงานเราก็อยากจะลองหลับดูอีกรอบ แต่บรรยากาศมันไม่เป็นใจแบบตอนเช้านะสิ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงหาวิธีทำยังไงให้หลับได้ อย่าหาว่าปัญญาอ่อนเลย วิธีการที่ดีที่สุดที่คิดออกคอนนั้นคือลองค้นหาในกูเกิลกับคำว่า สร้างบรรยากาศเสียงฝน ตอนที่ฝนไม่ตก แต่มันก็ดันมีคลิปเสียงฝนตกที่เล่นยาวๆ เป็นชั่วโมงขึ้นมาแนะนำซะอย่างนั้น
แต่เราไม่มียูทูปพรีเมี่ยม การจะฟังจึงจำเป็นต้องเปิดหน้าจอไว้ตลอด เราจึงเปลี่ยนวิธีไปหาใน แอปเปิล มิวสิค ปรากฏว่ามีเช่นกัน แล้วสิ่งที่น่าทึ่งอีกเรื่องก็คือ มันได้ผลจริงๆ ถึงแม้ว่าฝนจะไม่ตก แต่เวลาเราฟังเสียงฝนตกจากโทรศัพท์กลับทำให้เราหลับได้เหมือนกัน
และนี่แหละคือจุดเปลี่ยนที่เราพูดถึง หลังจากนั้นเรามักจะเปิดเสียงสายฝนฟังเวลาที่ต้องการผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นเวลาก่อนเข้านอน เมื่อต้องการงีบหลับ หรือแม้แต่เวลาเครียดๆ แล้วต้องการจะคลายเครียดก็ตาม
สิ่งนี้เองทำให้เราสงสัยว่า ทำไมเราจึงหลับได้ด้วยเสียงฝนตกจากโทรศัพท์ มันช่วยได้จริงไหม หรือว่าเราคิดไปเอง จะเรียกว่าโชคดีได้ไหม ที่การเรียนที่ประเทศนี้สอนให้เราทำการค้นคว้าในทุกๆ เรื่องที่เราสงสัย และด้วยการที่เราสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากมายบนโลกของอินเตอร์เน็ต และเราก็ได้เจองานศึกษาที่อธิบายและยืนยันว่าเสียงสายฝนมีส่วนช่วยในการนอนหลับได้จริง
“งานวิจัย“
มีการศึกษาจำนวนหนึ่งที่ได้สำรวจผลกระทบของเสียงฝนต่อการนอนหลับ งานศึกษาหนึ่งที่เผยแพร่ในวารสาร Sleep and Biological Rhythms พบว่าการฟังเสียงธรรมชาติรวมถึงเสียงฝนช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับในผู้สูงอายุที่มีปัญหานอนหลับโดยเฉพาะ และการศึกษาอีกเรื่องหนึ่งที่เผยแพร่ในวารสาร Journal of Physiological Anthropology พบว่าการฟังเสียงธรรมชาติรวมถึงเสียงฝนยังช่วยลดการกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสซิมพาเทติกและเพิ่มกิจกรรมของระบบประสาทสัมผัสพาราซิมพาเทติก ซึ่งระบบประสาททั้งสองตัวนี้มีความสัมพันธ์กันเกี่ยวกับเรื่องความผ่อนคลาย
และยังมีมีผู้คนหลายคนพบว่าเสียงฝนเป็นเสียงที่ช่วยผ่อนคลายและปลอบโยนจิตใจได้ดี และยังพบว่ามีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้อีกด้วย โดยเฉพาะเหตุผลที่มีการเชื่อมโยงถึงเรื่องการนอนหลับ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าเสียงฝนสามารถช่วยให้คนนอนหลับได้ดีขึ้นและหลับง่ายขึ้น
เหตุผลแรก เพราะเสียงฝนสามารถทำหน้าที่เป็น white noise ได้ ซึ่งเป็นเสียงที่มีความถี่ต่อเนื่องและคงที่ ช่วยบดบังเสียงอื่นๆ ในสิ่งแวดล้อมที่อาจมีสิ่งรบกวนอยู่ในขณะนั้น ด้วยการทำหน้าที่เหล่านี้นี่เอง ทำให้เสียงฝนสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและเหมาะสมสำหรับการนอนหลับได้
เสียงฝนยังสามารถกระตุ้นการส่งผลต่อการตอบรับของร่างกายในเชิงผ่อนคลายได้อีกด้วย และส่งผลตอบรับแบบธรรมชาติที่ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล และสามารถทำให้ร่างการเข้าสู่โหมดสงบและผ่อนคลายได้ โดยเมื่อร่างกายอยู่ในสถานะการผ่อนคลาย การนอนหลับก็จะง่ายขึ้นและหลับได้ตลอดทั้ง
และนี่คือหลักฐานและข้อพิสูจน์ส่วนหนึ่งของการศึกษาว่า เสียงสายฝนนั้นสามารถช่วยให้เรานอนหลับได้นั่นเอง
ส่วนอีกเรื่องที่เราสงสัยมาตั้งแต่ในวัยเด็ก และได้เกริ่นไว้ข้างต้นอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การที่เราจำเป็นต้องอาบน้ำหลังจากตากฝน เพราะมันจะทำให้เราไม่สบายนั้น เป็นเรื่องจริงไม่ ซึ่งเราก็ได้หาคำตอบในเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน
“ความเชื่อดั้งเดิม“
เอ้า อ่านกันดีๆ สำหรับคนรักฝน! 5555 ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า การตากฝนนั้นไม่ได้ทำให้เพื่อนๆ เป็นหวัดได้เลย แต่งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการตากฝนเป็นเวลานานโดยเฉพาะในสภาพอากาศหนาวและชื้น อาจทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงและเสียความสามารถในการต่อต้านโรคได้ ดังนั้นหากเพื่อนๆ ต้องการหลีกเลี่ยงการเป็นไข้หวัด ควรเตรียมตัวสวมใส่ชุดกันฝนให้แน่นหนาและทำตัวให้แห้งไว้จะดีกว่า
คราวนี้มาถึงเรื่องความเชื่อผิดๆ ที่ว่าการอาบน้ำหลังจากตากฝนจะช่วยป้องกันการเป็นไข้หวัดได้นั้น ขออธิบายว่า ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่รองรับเรื่องนี้เลย ในความเป็นจริง การวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการชื่อว่า “International Journal of Epidemiology” ก็ได้บอกไว้ว่าไม่มีความสัมพันธ์อะไรเลยระหว่างการตากฝนกับการติดเชื้อทางเดินหายใจ แต่การอาบน้ำ โดยเฉพาะน้ำอุ่นหรือน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าร่างกายมีความสามารถช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ ซึ่งอาจช่วยให้เพื่อนๆ รู้สึกดีขึ้นได้หลักจากเปียกฝน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวว่าหากตากฝนแล้วจะทำให้ไม่สบายได้ เพราะไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเป็นความจริง
สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกว่า การนอนหลับเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของเราทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่หลายคนมีปัญหาในการนอนหลับ หากเพื่อนๆ เป็นหนึ่งในคนจำนวนนั้น เพื่อนๆ อาจต้องพิจารณาใช้เสียงฝนเพื่อช่วยให้หลับสนิทขึ้น
ยิ่งถ้าหากเพื่อนๆ มีพื้นหลังที่ชอบเสียงสายฝนแบบเราแล้วด้วย การใช้เสียงฝนอาจส่งผลในทางบวกต่ออาการนอนไม่หลับและช่วยทำให้เพื่อนๆ หลับได้ดีขึ้น
ดังนั้นถ้าเพื่อนๆ กำลังมองหาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของการนอนหลับด้วยวิธีธรรมชาติและไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ต่อร่างกาย เพื่อนๆ สามารถพิจารณาการฟังเสียงฝนผ่านช่องทางต่างๆ ไว้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง เช่น ใช้แอปพลิเคชัน เล่นเพลย์ลิสต์เสียงฝนบนโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่เปิดหน้าต่างเพื่อฟังเสียงฝนจากภายนอกห้องโดยตรง
หวังว่าบทความนี้จะช่วยแนะนำหนทางให้เพื่อนๆ ที่ต้องการหาช่องทางในการผ่อนคลายระหว่างวัน หรือช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับของหลายๆ คนที่อาจกำลังมีปัญหาด้านการนอนอยู่ในขณะนี้
และในบทความนี้ เรายังแปะวีดีโอเสียงฝนที่เราทำไว้ใน ยูทูป เพื่อให้เพื่อนๆ ไว้เป็นทางเลือกในการฟังอีกด้วย