ก่อนอื่นเรามาเสวนาเกี่ยวกับเรื่องการกินก่อนดีกว่า
ก่อนที่จะเริ่มล่องลอยไปในบทความนี้กัน เราอยากให้เพื่อนๆ เข้าใจตรงกันก่อนว่า เราไม่ได้เขียนบทความนี้ขึ้นจากเจตนาที่จะบังคับหรือชี้นำให้เพื่อนๆ เลือกที่จะกินตามเรา เพราะจริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเรา อะเนอะ 555
ถ้าหากเพื่อนๆ มีความสนใจรูปแบบการทานอาหารทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พาลีโอ มังสวิรัติ เมดิเตอร์เรเนียน คีโต หรืออื่นๆ อีกมากมายหลายแหล่ในสมัยนี้ เราก็สนับสนุนเต็มที่เลย
แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราอยากเตือนไว้สักนิด ว่าการที่คนไกล้ชิดเลือกกินอะไร มันอาจจะไม่ได้แปลว่าดีสำหรับตัวเพื่อนๆ ก็ได้ เพราะว่าร่างกายเราแต่ละคนล้วนมีความเป็นปัจเจกสำหรับบุคคลนั้นๆ ดังนั้น ถ้าจะให้เราถือวิสาสะแนะนำสักเรื่อง เราก็จะแนะนำให้เลือกแนวทางการทานที่ทำให้เพื่อนๆ รู้สึกมีความสุขและปฏิบัติแนวทางนั้นไปได้เรื่อยๆ
อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง ไอที่เราบอกว่ากินแล้วมีความสุขก็กินไปเลย นี่ไม่ได้หมายความว่า “โอ้ย ใส่ปากแล้วฉันอร่อย นี่แหละคือแนวทางที่ฉันเลือก ฉันแฮปปี้ ฉันจะกินไม่หยุดยั้ง” No No No! ไม่ใช่อย่างนั้นนะ 555 เราหมายถึงว่ามันต้องประกอบกับหลักฐานว่ามันเหมาะกับเราด้วย เช่นการไปตรวจร่างกายแล้วค่าต่างๆ เช่น ตับ ไต ไขมัน หัวใจ ความดัน ของเพื่อนๆ ปกติ นั่นก็แสดงว่าเพื่อนๆ จะยึดแนวทางของการกินที่เพื่อนๆ ทำอยู่ได้ตามสบายเลย
แล้วนี่ก็คือทั้งหมดที่เราอยากจะบอกก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่บทความนี้อย่างจริงจัง
เด็กอ้วน
เราเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนมาตั้งแต่เด็ก ที่สำคัญไม่ว่าเราจะกินอะไรแค่นิดหน่อย น้ำหนักเราก็จะดีดขึ้นมาแบบเร็วมากๆ จนบางครั้งเราคิดว่า แค่มองของกิน น้ำหนักเราก็ขึ้นแล้วมั้ง 555
แต่ขอเห็นแก่ตัวหน่อย จะให้เรามาโทษตัวเองทีเดียวทั้งหมดก็ไม่ได้ เราต้องโทษย่าเราด้วย ที่ดันทำอาหารอร่อยซะทุกอย่าง 555 สำหรับย่าเราแล้ว การทำอาหารให้ทุกคนในบ้านคือการแสดงความรักอย่างหนึ่งของนางเลยก็ว่าได้ ตอนเด็กๆ เราจะเห็นย่าเราทำอาหารแทบทั้งวัน อย่างกับว่านางจะทำไปเลี้ยงทั้งกองทัพ อีกอย่างการที่เราอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ก็ทำให้ยากที่จะปฎิเสธการกินได้ เพราะเวลาย่าทำอาหารเสร็จ ทุกคนก็จะเรียกมารวมตัวกันกินข้าว เหมือนเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของครอบครัวในสมัยนั้น
แต่เราก็อยากจะชื่นชมย่าเราอยู่เรื่องสองเรื่อง เพราะทุกวันนี้เรายังประหลาดใจอยู่กับเรื่องเหล่านี้ นั้นคือในสมัยนั้นสูตรอาหารมันไม่ได้หาได้ง่ายๆ แบบในสมัยนี้ แต่นางสามารถทำอาหารได้เยอะมาก โดยใช้ความจำจากหัวนางอย่างเดียว แล้วแถมยังกะตวงได้แม่นยำอีกต่างหาก เราไม่เคยเห็นนางเปิดสูตรอาหารเลย แต่นางรู้ทุกอย่างว่า อาหารชนิดไหนต้องใช้เครื่องปรุงและส่วนผสมอะไร เรียกว่า อินเตอร์เนตสมัยนี้ ชิดซ้ายไปเลยเมื่อเจอความจุของแมมโมรี่ในหัวของย่าเรา 555
อีกเรื่องคือย่าเรามักจะตื่นเช้าไปตลาดเพื่อสรรหาของมาทำกับข้าวตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วทั้งวันแกก็จะวุ่นอยู่กับการเตรียมเครื่องปรุง ส่วนพวกหลานๆ อย่างเราก็จะเป็นลูกมือคอยหั่นหอม ปลอกกระเทียม ปลอกเปลือกถั่วลิสง เป็นต้น แต่ว่ายัง ยังไม่จบแค่นั้น ตกเย็นนางก็จะออกไปตลาด เพื่อไปซื้อของกลับมาทำกับข้าวเย็นอีก ตั้งแต่เราจำความได้ นางจะทำวนอยู่อย่างนี้ทุกวัน เรียกได้ว่านี่คืองานประจำของนางเลย
แต่จะบ่นนางก็ไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าเวลาที่นางทำอาหารเสร็จ บอกเลยว่า ไอสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารนะ ทำให้เราหยุดกินไม่ได้จริงๆ และนี่ก็คือปัญหา ที่ทำให้เราเป็นเด็กร่างอ้วนมาตั้งแต่เด็ก 555 แต่ด้วยรสชาติอาหารของย่าแล้ว ถามว่าเสียใจใหมที่อ้วน บอกเลยว่าไม่สักนิด
สาธยายมานานมาก มาเริ่มเข้าเรื่องระบบเผาผลาญของเราเลยดีกว่า เมื่อเราโตขึ้นมาหน่อย เอาเป็นว่าเริ่มจากวัยมัญยมดีกว่า น้ำหนักเรามักจะขึ้นๆ ลงๆ อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าเรากินอะไรนิดก็อ้วน แต่ในขณะเดียวกัน เราไม่ได้มีเรื่องแย่ไปสักทุกอย่าง เพราะอีกด้านหนึ่ง เวลาเราต้องการจะลดน้ำหนัก น้ำหนักเราก็ลงง่ายมากๆ เช่นกัน มันจึงเกิดภาวะขึ้นๆ ลงๆ อยู่บ่อยๆ ตามอารมณ์ปากของเรา
เราจะยกตัวอย่างช่วงวัยหนึ่งของเรา ตอนนั้นอยู่ในช่วงเข้าสู่มัธยมปลาย เราย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพ ช่วงนั้นคือจุดเปลี่ยนของน้ำหนักที่ขึ้นๆ ลงๆ ของเราเลย เพราะด้วยการที่ได้เปลี่ยนสถานที่อยู่ เปลี่ยนสังคม เปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิต ทำให้ช่วงนั้นเราไม่ได้สนใจเรื่องการกินเหมือนอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ทำให้เราผอมมากๆ ในช่วงนั้น และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่น้ำหนักเราคงที่
แต่งานเลี้ยงก็ต้องมีเลิกลา เพราะก็ถึงเวลาที่เราเรียนจบและย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเหมือนเดิม แบบแผนการใช้ชีวิตก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม รวมถึงรูปแบบการกินด้วย ทำให้น้ำหนักเราก็ดีดขึ้นไปเท่าเหมือนสมัยก่อนอีกครั้ง
การทดลองลดน้ำหนักแบบที่ได้ผล และไม่ได้ผล
เนื่องจากภาวะน้ำหนักเกินเป็นปัญหาของเรามาโดยตลอด ฉะนั้นการหากลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะลดน้ำหนักให้ได้มักจะเป็นกิจกรรมที่เราทำเป็นช่วงๆ ส่วนใหญ่วิธีเหล่านั้นมักจะมาจากทางอินเตอร์เนต และมักได้ผลเพียงแค่ในระยะสั้นๆ เท่านั้น
วิธีหนึ่งที่เรามักใช้ตลอดเวลาคือการตัดแคลอรี่ให้ต่ำที่สุดโดยไม่ได้คำนึงถึงโภชนาการมากนัก และแน่นอนว่ามันไม่ใช่วิธีที่สมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยมันก็ได้ผลเป็นพักๆ ในช่วงเวลานั้น ใช่ไหมล่ะ
แต่สักพักร่างกายอันน่ามหัศจรรย์ของเรา มันก็จะมีวิธีเตือนเราว่ามันต้องการอาหารอย่างอื่นที่นอกเหนือจากไข่ต้มและแครอท แล้วร่างกายมันก็ต่อต้านจนทำให้เรากลับสู่ภาวะที่ต้องกินแบบเดิมๆ และน้ำหนักก็กลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง และดูเหมือนว่ามันจะวนเป็นรูปแบบเดิมๆ อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายยิ่งนัก
คีโตไดเอทมาช่วยชีวิตจากการกักตัวกับขนมปังและมันฝรั่งทอด
สำหรับเราที่อาศัยและทำงานอยู่ในต่างประเทศตอนนั้น โควิด-19 ไม่ได้เป็นเพียงโรคระบาดที่น่ากลัวเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยทางด้านการเงินอีกด้วย บอกได้เลยว่าช่วงนั้นต้องเผชิญกับความเครียดทั้งด้านจิตใจและการเงิน เพราะเมลเบิร์นเป็นเมืองหนึ่งของโลกที่มีมาตรการกักตัวที่เข้มงวดและยาวนานอันดับต้นๆ ของโลก จำนวนชั่วโมงงานที่หายไปเกินครึ่งซึ่งก็หมายความว่าเงินก็หายไปด้วย ภาระการเรียนที่ต้องจ่ายเงินอยู่ทุกเทอมก็ยังมีอยู่ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนั้นก็คือการหาของถูกๆ อย่างขนมปังและมันฝรั่งมาไว้กิน และการผ่อนคลายที่ดีที่สุดก็คือการนอนดู Netflix
ช่วงนั้นอาหารการกินจะเน้นที่ปริมาณและราคามากกว่าคุณภาพ 555 และด้วยเหตุผลนี้ เพื่อนๆ คงรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น บวมจ๊ะ บวมเป็นลูกโป่งเลย น้ำหนักจาก 67 กิโล ขึ้นไป 79 กิโล ช่วงนั้นรู้สึกเหมือนเป็นซอมบี้มาก และมากกว่านั้นสุขภาพก็ไม่ดีด้วย ช่วงนั้นเลือดกำเดาไหลบ่อย และก็รู้สึกมึนหัวบ่อยๆ อีกต่างหาก
แต่ก็เหมือนโชคยังเข้าข้างอยู่สักหน่อยที่ตอนนั้นเป็นช่วงปีสุดท้ายของการเรียนปริญญาตรี ซึ่งต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการจำนวนมาก แล้วข้อมูลเกี่ยวกับคีโตไดเอทก็ผ่านเข้ามาในช่วงนั้น
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ช่วงแรกๆ ที่เริ่มกินคีโตมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ เขาพูด ว่าการกินคีโตก็แค่กินไขมันเข้าไปเยอะๆ แต่ในหลักความเป็นจริงแล้วการปฎิบัติแนวทางคีโตอย่างถูกต้องมันมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่จะอย่างไรก็ตาม อะไรจะมีความสุขไปกว่าการที่ยังกินของมันๆ ได้ แต่น้ำหนักกลับลดลงใช่ไหมล่ะ
อีกเรื่องนึกที่ทำให้เราตกใจมากก็คือ เราได้อ่านการศึกษาจาก American College of Cardiology ปี 2020 การศึกษากล่าวไว้ว่าการทานกรดไขมันอิ่มตัวไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการทำให้อ้วนขึ้น ตรงกันข้ามอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหากับโรคหลอดเลือดกลับเป็นคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลซะมากกว่า
ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเข้าสู่ลัทธิคีโตอย่างแท้จริง 555 เพราะมันดูเข้ากับการศึกษาล่าสุดที่บอกว่าการทานไขมันอิ่มตัวไม่มีความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่กลับกัน คีโตแนะนำให้ลดคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล โดยเน้นการบริโภคไขมันสูงถึง 70% โปรตีน 20% และคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำไม่เกิน 10%
เอาเป็นว่าเราจะไม่พูดเรื่องงานวิจัย หรือผลการศึกษามากมาย จำทำให้บทความนี้น่าเบื่อละกัน ถ้าเพื่อนๆ สนใจอยากศึกษา เพื่อนๆ ลองเข้าไปฟัง ช่อง Youtube ของคนเหล่านี้ดูก็ได้ ดร. Eric Berg, ดร. Jason Fung, ดร. Sten Ekberg และ Thomas DeLauer พวกเขามีความรู้และความเชี่ยวชาญในสายงานนี้จริงๆ มากกว่าเราหลายเท่านัก
อะไรคือคีโตเจนิค ไดเอท
สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่รู้ว่าแล้วคีโตเจนิคมันคืออะไรกันแน่ เราจะขออธิบายให้เข้าใจอย่างคร่าวๆ ละกัน คีโตย่อมาจากคำว่า “คีโตน” ซึ่งเป็นสารเล็กๆ ที่สร้างขึ้นจากตับของเราเพื่อทำให้ร่างกายใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงแทนคาร์โบไฮเดรต เนื่องจากไม่มีคาร์โบไฮเดรตมากพอที่จะนำมาใช้งานในร่างกาย เมื่อเกิดกระบวนการดังกล่าวร่างกายจะเข้าสู่สภาวะเคตโตซิส โดยลักษณะและสัดส่วนการรับประทานคีโตเจนิคเราได้กล่าวไปข้างต้นก่อนหน้าแล้ว
อ้างอิงจากตัวเราที่ได้ทำตามแนวทางนี้มาเกินปีแล้ว เราลดไปทั้งหมด 19 กิโลกรัม และไม่เคยรู้สึกดีอย่างนี้มาก่อนเลย และส่วนตัวเราเป็นคนที่ชอบกินเนื้อและไขมันจึงทำให้เราไม่รู้สึกทรมาน หรือรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง เราจึงสามารถทำแนวทางนี้ได้ไปเรื่อยๆ นั่นเอง
สิ่งที่ท้าทายสำหรับคีโตเจนิค
จะพูดด้านดีอย่างเดียวมันก็จะฟังดูเวอร์วังสำหรับคีโตเจนิคไปหน่อย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันมีทั้งด้านดีและด้านเสียให้ทุกคนได้ตัดสินใจเลือกกันเอาเองว่าสุดท้ายแล้วเราจะเลืกทางไหน ฉะนั้นเราจะแจกแจงว่าการเข้าสู่คีโตเจนิค มีข้อเสียอะไรบ้าง
- เงิน เงิน เงิน
ต้องบอกก่อนเลยว่าโภชนาการคีโตเจนิคที่ถูกวิธี หรือที่เรียกกันว่าคีโตแบบสุขภาพดีนั้น มันมีราคาที่ค่อนข้างสูง เพราะมันไม่ใช่แค่เพียงการกินไขมันอะไรก็ได้ แต่มันต้องเลือกกินไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่นการไม่ทานน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาร์ม แต่ต้องทาน น้ำมันอะโวคาโด น้ำมันโอลีฟ หรือน้ำมันแมคาเดเมีย เป็นต้น และไขมันสัตว์ก็เน้นที่มาจาก ปลาที่มีไขมันดีเป็นหลักเช่นแซลมอน ซึ่งเพื่อนๆ ก็น่าจะรู้ดีว่าของพวกนี้ราคาสูงแค่ไหนนั่นเอง - ต้องทำอาหารเป็น
อีกเรื่องที่เราคิดว่าคนที่จะปฎิบัติแนวทางนี้ให้ได้ผลดี ต้องทำอาหารทานเองได้ เพราะคีโตไม่ใช่อาหารที่แพร่หลายที่สามารถเดินออกไปหน้าปากซอยแล้วซื้อได้ เพราะจะต้องพิถีพิถันถึงกระบวนการทำและส่วนผสม ต้องคำนวนคาร์บ, น้ำตาล, ไขมันให้ดี ฉะนั้นสำหรับเพื่อนๆ ที่ทำอาหารไม่เป็นแล้ว อาจจะเป็นเรื่องยาก - การเข้าสังคม
สอดคล้องกับที่ได้เกริ่นไปในข้อที่สองว่าอาหารคีโตไม่ได้หาได้ทั่วไปตามร้านอาหาร หรือ 7-11 ฉะนั้นไม่ใช่ว่าไปร้านอาหารไหนก็จะมีคีโตเมนูให้เลือก เราพูดได้เลยว่า 90% ของร้านอาหารทั่วไปไม่ได้มีเมนูที่คนทานคีโตสามารถทานได้ ดังนั้น การจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนหรือครอบครัวมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ด้วยเหตุผลนี้เอง เราจึงมักจะมีวันโกงหนึ่งวันต่อเดือน แต่ต้องเคร่งครัดนะ วันเดียวก็คือวันเดียว เพื่อที่เราจะได้ออกไปสังสรรห์และมีสังคมภายนอกได้
ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดจากการทานคีโต
อย่างที่บอกไปว่าทุกๅ เรื่องมีสองด้านเสมอ และคีโตกับความเสี่ยงด้านสุขภาพก็มีเช่นกันหากไม่ระวังและสอดส่องความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง โดยปัญหาที่มักพบบ่อยๆ มีดังนี้
- ภาวะขาดวิตามิน
คนที่ทานคีโตมักจะรู้ดีว่าการตัดแป้งและน้ำตาลคือเรื่องดี และทำให้น้ำหนักลดได้อย่างรวดเร็ว แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันคือการทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดวิตามินบางตัวด้วย ยกตัวอย่างเช่น วิตามินบี วิตามินซี ซีลีเนียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ที่มักมีอยู่ในอาหารจำพวกผักที่มีสีต่างๆ ข้าวไม่ขัดสี และเมล็ดถั่ว อีกทั้งการที่ทานอาหารจำพวกแป้งน้อยทำให้ร่างกายขาดใยอาหารชนิดละลายน้ำ ที่ทำหน้าที่อุ้มแร่ธาตุไว้ในร่างเพื่อทำให้แร่ธาตุดูดซึมได้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย ดังนั้นวิธีแก้ เพื่อนๆ อาจจะตรวจค่าวิตามินและแร่ธาตุบ่อยๆ แล้วลองหาวิตามินเสริมมาทาน - ภาวะท้องผูก
อย่างที่เพื่อนๆ ได้รู้ไปในหัวข้อก่อนหน้าว่าใยอาหารชนิดละลายน้ำช่วยให้ร่างกายสามารถกักเก็บแร่ธาตุไว้ได้นานขึ้น แต่ใยอาหารชนิดนี้ยังมีความสำคัญอีกเรื่องคือการช่วยลำใส้ขับเคลื่อนของเสียให้ขับถ่ายออกมาได้ง่าย เพราะการทานคีโตมักจะเน้นผักใบเขียวที่มีใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำเยอะ ซึ่งอาจเป็นตัวการทำให้ท้องผูกได้ เราก็มีปัญหานี้ตอนแรกๆ แต่เราได้ค้นพบอาหารที่ทานแล้วช่วยเรื่องนี้ในคนที่ทานคีโตได้ดี นั่นก็คือการทานเส้นใยอาหารจาก ไซเลียม ฮัสค์ นั่นเอง - ภาวะนิ่วในไต
ภาวะนี้เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่คนทานคีโตมักจะพบ เนื่องจากการทานโปรตีนจากเนื้อเป็นจำนวนมากส่งผลให้ยูรีนมีภาวะเป็นกรดและเพิ่มจำนวนแคลเซียมในร่างกายทำให้เสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต ฉะนั้นผู้ที่ทานคีโตมักจะได้รับคำแนะนำให้ทานน้ำให้เพียงพอเพื่อที่จะได้ขับภาวะนี้ได้ และอีกอย่างที่แนะนำคือการทานน้ำผสมมะนาวหรือเลมอน ก็จะช่วยได้อีกระดับหนึ่งเช่นกัน
พร้อมที่จะลองคีโตไดเอทกันแล้วหรือยัง
เอาละร่ายมาซะเนิ่นนาน พอเขียนแล้วมันก็หยุดไม่ได้ หวังว่าเพื่อนๆ ยังคงไม่เบื่อกันซะก่อน แต่สัญญาว่านี่คือส่วนสุดท้ายของบทความแล้วนะ 555
ตอนนี้เราคิดว่าเพื่อนๆ ได้รู้ทั้งข้อดี ข้อเสีย และการศึกษาต่างๆ เกี่ยวกับคีโตเจนิค กันมาส่วนหนึ่งแล้ว มันก็ถึงเวลาแล้วที่เพื่อนๆ จะเลือกตัดสินใจว่าจะลองเข้าสู่โลกของการลดแป้งและน้ำตาลจริงๆ จังๆ หรือยัง แต่ถึงแม้ว่าเพื่อนๆ จะเริ่มแนวทางนี้ หรือคิดว่ามีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า ก็ขอให้เพื่อนๆ คำนึงไว้เสมอว่าให้เลือกในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกไม่ถูกบังคับหรือกดดันในการปฎิบัติในระยะยาว ดังนั้นไม่ว่าจะวิธีการไหน หากทำให้เพื่อนๆ มีความสุข มีสุขภาพที่ดี เราก็คิดว่านั่นคือทางเลือกที่ดีที่สุดของเพื่อนๆ แล้ว